เทศน์พระ

สำคัญว่า

๑๕ ม.ค. ๒๕๕๗

 

สำคัญว่า
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๗
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อันนี้เป็นคติธรรมเนาะ สิ่งที่เกิดขึ้น เห็นไหม มันมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชีวิตของเรา ชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งมันยาวไกลไง เราบอก “ชีวิตนี้สั้นนัก” เวลาพูดถึงธรรมะนะ ชีวิตนี้สั้นนัก สั้นนักเพราะอะไร? สั้นนักเพราะชีวิตนี้เหมือนพยับแดด พยับแดด เห็นไหม ดูสิ วันหนึ่งเวลาความร้อน มันโดนความร้อน เห็นไหม มันเกิดไอของมันเป็นพยับแดด เหมือนมีรูปมีร่างมันมีเป็นไป แค่นั้นเอง

ชีวิตนี้สั้นนัก ๆ ๆ แต่ชีวิตของคน ๑๐๐ ปี เวลามันทุกข์มันยากมันยาวไกลนัก ฉะนั้น ยาวไกลนัก ดูสิ คนที่ทำมาหากิน เห็นไหม เขาทำมาหากินนี่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย เดี๋ยวดีขึ้นมาชีวิตนี้ก็มีความสุข เห็นไหม ทำสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จ แต่สิ่งนั้นธุรกิจนั้น กาลเวลานี่มันเปลี่ยนแปลงไป เดี๋ยวนี้การแข่งขันมันมหาศาล พอมหาศาลนี่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ อย่างนั้นก็มีทุกข์มียากอยู่ นี่ไง ชีวิตมันถึงมีสูงมีต่ำ มีทุกข์มียาก มีโดยความจำเป็นของมัน

ฉะนั้น เวลาเราปฏิบัติธรรม สิ่งที่เป็นธรรม ๆ เห็นไหม ชีวิตนี้สั้นนัก เวลาความสุขของเรานี่แป๊บเดียวมันก็ผ่านไป ๆ แต่เวลาความทุกข์ความยาก เวลาความ เห็นไหม ก็ต้องกระเสือกกระสน ทั้งชีวิต นี่ ๑๐๐ ปี อายุขัยของคน ๆ หนึ่งประมาณ ๑๐๐ ปี ถ้า ๑๐๐ ปีนี่ เห็นไหม แต่ละวันแต่ละคืนจะผ่านไปถ้ามันทุกข์มันยากนี้ช้านัก แต่ถ้ามีความสุขแป๊บเดียว ปี วัน คืน ล่วงไปเร็วมาก นี่ปั๊บ ๆ เดี๋ยวปีใหม่ เดี๋ยวปีใหม่ ปีใหม่ปีเก่าอยู่อย่างนั้น

อายุ ๕๐ - ๖๐ เห็นไหม ดูสิ เดี๋ยวพอชราภาพขึ้นไปมันก็ทุกข์มันก็ยาก เห็นไหม จะก้าวจะเดินมันก็ทุกข์ยากไปหมด แต่จิตใจมันไม่เคยแก่ จิตใจมันเป็นอย่างนั้น จะแก่จะเฒ่าขนาดไหน จิตใจมันก็ยังมีความดีดดิ้นของมันอยู่อย่างนั้น มันไม่มีชราภาพเลย แต่เวลามันเกิด เกิดใหม่ เห็นไหม เกิดเป็นทารกขึ้นมา นี่เป็นไร้เดียงสา ๆ นี่ฝึกหัดฝึกฝนกันไป ชีวิตเป็นแบบนี้

ถ้าชีวิตเป็นแบบนี้ เห็นไหม เราเห็นผลของวัฏฏะ มันเป็นผลของวัฏฏะ ถ้าคนมีสติมีปัญญา มันก็มีสติปัญญาเพื่อจรรโลงชีวิตของเราให้มันยั่งยืน จรรโลงชีวิตของเราให้มันขาวสะอาด ไม่ให้มันมีสิ่งเศร้าหมอง เห็นไหม ถ้ามันมีสิ่งเศร้าหมองก็เศร้าหมองอยู่อย่างนั้น ถ้าเศร้าหมองแล้วนี่เวลาขาดสติควบคุมตัวเองไม่ได้เลย

ถ้าควบคุมตัวเองไม่ได้ เห็นไหม ดูสิ พระอรหันต์กับคนบ้า เวลาพระอรหันต์เขามีสติพร้อมนะ ไม่มีสิ่งใดแต่ว่ามีสติพร้อมของเขา สติพร้อม เห็นไหม สติพร้อมเพราะอะไร เพราะมันรู้เท่าทันทั้งหมด เห็นไหม เสวยอารมณ์ ๆ มันเสวยขึ้นมามันก็เป็นตัวเป็นตนทั้งนั้น แต่เวลาคนบ้ามันหลุดไปแล้วนี่มันทำลายคนอื่นหมดเลย แล้วคนบ้านี่นะ ดูพวกทางวิชาการเขาบอก เวลาคนบ้านี่ เวลาเขาต้องใช้ยาของเขา เขาใช้เครื่องประกอบในการรัดตัวของเขา อย่าเข้าไปใกล้นะ

จิต เห็นไหม จิตนี่ถ้ามันมีสติปัญญานี่มันออก มันแสดงตัวของมันเต็มที่ เหมือนกับคนเวลาเล่นไพ่แล้วตำรวจจับ เห็นไหม เหมือนไฟไหม้บ้าน ดูสิ เวลาจิตมันขาดของมัน มันไปตามประสามัน แสดงออกในความเป็นจริงของมัน มันหาบมันหามได้ทั้งนั้น สิ่งที่ไปไม่ได้ มันเป็นไปได้หมด

คนบ้า ดูสิ เวลาคนบ้าคนขาดสติ มันทำลายทั้งนั้น เราต้องมีสติ มีสติเราจะดูแลรักษาเขา เราจะรักษาเขา เราต้องมีสติสัมปชัญญะ ไม่ให้เข้าไปเผชิญภัยจนเกินกว่าเหตุ จนเราเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ ขึ้นมา นี่เรื่องของจิตนะ ฉะนั้นมันไม่เคยแก่ไม่เคยเฒ่า มันทุกข์มันยากมันอย่างนั้น ถ้าเราเห็นสภาพแบบนี้ แล้วเรามีสติย้อนกลับมาหาเรา ย้อนมาหาเรานะ นี่มันดูหนังดูละครย้อนดูตัวเองไง

ถ้ามันเป็นแบบนั้น เห็นไหม คนที่จะภาวนา เราจะหัดภาวนาของเรา เราจะมีสติสัมปชัญญะของเรา เราต้องมีสัจจะ มีความจริงขึ้นมา อย่าสำคัญตน ความสำคัญตน สำคัญว่านี่ สำคัญเอาเองไง สำคัญเอาเอง จินตนาการกันไป เวลามันเกิดเหตุการณ์ความจริงขึ้นมานี่เราแก้ไขตัวเราไม่ได้ เราไม่รู้ว่าสิ่งใดเป็นจริง เห็นไหม เราถึงต้องประพฤติปฏิบัติให้เป็นความจริง ถ้าความจริงขึ้นมาเราจะรู้ถึงความเป็นไปในหัวใจของเรา

ถ้ามันเป็นไปในหัวใจของเรานะ ใจของเรา เอาใจของเราไว้ในอำนาจของเรา ใจทุกดวงใจมันก็เหมือนกันทั้งนั้น นี่ถ้าเข้าใจในหัวใจของเราแล้ว เราเข้าใจทุก ๆ อย่าง เห็นไหม ดูสิ “ชนะตนเองเท่ากับชนะคนทั้งโลก” ถ้าแพ้ตนเอง เห็นไหม เพราะแพ้เราไง เพราะแพ้เรา เพราะมีความหมกมุ่น สำคัญว่ามันจะเป็นอย่างนั้น สำคัญว่าเป็น เป็นส่งออกหมด เพราะจิตเวลามันสำคัญว่า สำคัญว่าจะเป็นอย่างนั้น สำคัญว่าจะเป็นอย่างนั้น แล้วมันเป็นจริงไหมล่ะ

เพราะความสำคัญจิตมันส่งออกไปแล้ว มันไปอยู่กับสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา มันเป็นอนิจจัง มันไม่แน่นอนทั้งนั้น แล้วเราไปสำคัญว่ามันจะเป็นแบบนั้น เป็นแบบนั้น สำคัญได้อย่างใด เราจะไปสำคัญว่าเป็นอย่างที่เราคิดเราเห็น มันเป็นไปไม่ได้หรอก เราอย่าไปสำคัญว่าเป็นอย่างใด เอาความจริง ถ้าเอาความจริงขึ้นมา ความจริงมันอยู่ที่ไหนล่ะ ความจริงของเขาเป็นความจริงของเขา ความจริงของเราเป็นความจริงของเรา

ถ้าเป็นความจริงของเรา เห็นไหม เราตั้งสติของเราไว้ ตั้งสติของเราไว้ ถ้ามันเสวยอารมณ์มันก็เป็นอารมณ์ความรู้สึกล่ะ ถ้าความรู้สึก โดยธรรมชาติของจิตมันเป็นแบบนั้น รับรู้ต่าง ๆ นี่ยึดมั่นถือมั่นไปหมดเลยว่าเป็นอย่างนั้น ๆ ด้วยความสำคัญว่ามันจะเป็นอย่างนั้น สำคัญว่า ๆ เพราะสำคัญว่ามันถึงได้พิจารณาสิ่งใดไม่เป็นความจริงสักอย่างหนึ่งไง เพราะสำคัญว่า ๆ มันส่งออกแล้ว สำคัญว่าควบคุมไม่ได้ สำคัญว่าเป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา เป็นอนิจจังแล้วเราจะควบคุมบริหารจัดการกันอย่างไร เพราะมันเป็นอนิจจัง เป็นโลก เป็นสัญชาตญาณ

แต่ถ้าเราฝึกหัดสติปัญญาขึ้นมา เห็นไหม เราจะทำความสงบใจเข้ามา ถ้าใจสงบเข้ามามันปล่อยวาง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ปล่อยขันธ์ ๕ เข้ามา มันถึงมีความสงบของมัน ถ้ามีความสงบของมันนะ นี่มันพลังงานมันยังจับต้องสิ่งใดไม่ได้ เห็นไหม มันก็มีตัวตนของเราเห็นไหม สมาธิคือตัวเราเอง

จากที่มันส่งออกไป มันก็ไปสำคัญว่า สำคัญว่าสำคัญตน สำคัญตนสำคัญว่าแล้วมันก็ไปยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นถือมั่นแล้วก็ต้องการให้เป็นแบบที่เราพอใจ ต้องการให้เป็นสิ่งความขับดันของตัณหาความทะยานอยาก ถ้ามีตัณหาความทะยานอยากสำคัญว่าแล้วก็เอาความสำคัญนั้นเป็นความจริง พอเอาความสำคัญนั้นเป็นความจริง มันเป็นจริงไหม?

มันไม่เป็นจริงสักอย่างหนึ่ง เพราะมันเป็นอนิจจัง มันแปรสภาพของมัน มันไม่มีอะไรเป็นจริงของเรา เห็นไหม ใจของเรายังควบคุมไม่ได้เลยแล้วจะไปควบคุมใจของคนอื่นได้อย่างไร เราจะไปควบคุมใจของคนอื่น เราจะไปควบคุมสังคม จะไปปกครองโลก มันจะเป็นไปได้อย่างไร

แต่ถ้ามันมีความจริงสิ มีความจริง เห็นไหม เราเป็นชาวพุทธเกิดมาพบพุทธศาสนา เราถึงได้มาบวชมาเรียนกัน ๆ มาศึกษาขึ้นมาก็เป็นปริยัติ ข้อวัตรปฏิบัตินี่มันเป็นเครื่องอยู่อาศัย ข้อวัตรปฏิบัติ เห็นไหม มีข้อวัตรเป็นเครื่องอยู่ สิ่งนี้เป็นเครื่องอยู่อาศัย ถ้าใจไม่มีเครื่องอยู่อาศัยจะเอาอะไรเป็นเครื่องอยู่ เห็นไหม นี่จิตใจเรานี่เราเกิดเป็นมนุษย์ เราถึงมีศักยภาพ เกิดเป็นมนุษย์ เกิดในครรภ์ เกิดในครรภ์ออกมานี่เกิดมาเป็นเรา มีกายกับใจ ๆ สิ่งนี้หัวใจมันอยู่ในร่างกายนี้

ถ้าจิตใจมันอยู่ในร่างกายนี้ เห็นไหม เราศึกษา ๆ ศึกษาเข้ามา ศึกษาเข้ามาเพื่อเข้าไปสู่ใจของเรา ข้อปฏิบัติก็ให้ใจมันเป็นที่อาศัย มันจะได้มีที่ยึดที่มั่น มีที่อาศัย มีที่พึ่งพิง ไม่ใช่ปล่อยให้มันเร่ร่อน ปล่อยให้มันเร่ร่อนไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งพิงเลย แล้วเอาอะไรเป็นที่พึ่งพิงล่ะ มันไม่มีอะไรเป็นที่อาศัย ที่อาศัย ๆ อาศัยเพื่ออะไร? เห็นไหม เราไม่สำคัญว่า ถ้าสำคัญว่านี่มันโดยขาดสติ มันเป็นการสำคัญว่าจะเป็นอย่างนั้น ตามจินตนาการ

แต่ข้อวัตรปฏิบัตินี่เราสำคัญไหม เราสำคัญ ๆ สำคัญเพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์มันต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้ามีปัจจัยเครื่องอาศัย การอาศัยนั้น เห็นไหม อาศัยปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อดำรงชีวิต ดำรงชีวิต เราก็ต้องดูแลจัดการ ดูสิ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม สิ่งที่ว่าเป็นอาบัติ ไม่เป็นอาบัติอยู่นี่ สิ่งที่เป็นอาบัติล่ะ เราทำไม่ได้ ไม่ควรทำ สิ่งนั้นเป็นความเศร้าหมอง สิ่งที่ทำแล้วไม่เป็นอาบัติล่ะ ทำแล้วมันเป็นข้อวัตรปฏิบัติ เป็นที่พึ่งที่อาศัยนั้นมันการฝึกหัดจิตใจของเรา

ถ้าจิตใจของเราฝึกหัดแล้วนี่เวลาจะมาประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เวลาเราจะมีคำบริกรรม เราจะมีปัญญาอบรมสมาธิขึ้นมา เราได้ทำสิ่งนั้นทุกอย่างพร้อมแล้ว เวลาเราจะนั่งสมาธิ เห็นไหม เวลาเราจะปฏิบัติขึ้นมานี่ เราได้เก็บทุกอย่างไว้เข้าที่เข้าทางแล้ว เรามานั่งมันก็ไม่มีสิ่งใดเป็นกังวล ถ้ายังไม่เก็บสิ่งใดไว้เข้าที่ พอจะมานั่งประพฤติปฏิบัติ นั่นก็ยังไม่ได้ทำ นี่ก็ยังไม่ทำ โน้นก็… หลอกตัวเอง ๆ เห็นไหม นี่ไง มันเพราะอะไร

เพราะเรายังทำไม่สะอาดบริสุทธิ์ไง ถ้าสะอาดบริสุทธิ์แล้วเป็นกุศล ทำให้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเราจะมาภาวนาของเรา มันก็เป็นระหว่างเรา ระหว่างคำบริกรรมกับจิตเท่านั้น จิตมันก็ไม่ไปเกาะเกี่ยวสิ่งใด เห็นไหม มีคำบริกรรม มีพุทโธของมัน มีปัญญาอบรมสมาธิของมัน มันจะทำความสงบของใจเข้ามา มันจะไม่สำคัญว่าแล้ว

สิ่งที่สำคัญว่า ๆ ปริยัติไปศึกษามานี่สำคัญว่าจะเป็นอย่างนั้น แล้วเวลามาในหัวใจของเรา เราก็สำคัญว่าเป็นอย่างนั้น คิดว่าเป็นอย่างนั้น คิดว่า สำคัญว่า ไม่เป็นความจริง นี่พอสำคัญว่าไม่เป็นความจริงนี่ พยายามสงบ พยายามใช้สติ ใช้คำบริกรรม นี่ถ้ามันปล่อยวางเข้ามา ๆ นี่สำคัญตน สำคัญตนนะ สำคัญว่าตนเป็นไง มันมีอยู่จริงไง จิตมันมีอยู่จริง ความรู้สึกมันมีอยู่จริง

นี่การภาวนาไง นี่บำเพ็ญเพียร ปฏิบัติธรรม ประพฤติตบะธรรม ถ้าประพฤติตบะธรรม ตบะธรรม ถ้ามันเป็นความสงบของใจเข้ามา เห็นไหม มันจะแผดเผา สัจธรรมมันจะแผดเผากิเลส ทำลายแผดเผาพญามาร นี่มันแผดเผายังไงล่ะถ้ามันสำคัญตน ก็เราเป็นแล้วมันจะไปแผดเผาที่ไหน เวลามันปล่อยมันสำคัญตน ตนเป็นอย่างนี้ ถ้าสำคัญว่า ๆ ก็ไปตะครุบเงา ตะครุบเงาสิ่งนั้นว่าเป็นความเห็น เป็นความจริง เป็นความที่เราจะบริหารจัดการ

ข้อวัตรปฏิบัติก็เป็นข้อวัตรปฏิบัติ วิสาสะก็วิสาสะ สิ่งใดเราจะวิสาสะกัน สิ่งใดเราวิสาสะเพราะเราถือวิสาสะเครื่องใช้ไม้สอยต่อกัน มันก็วิสาสะได้ ถ้าวิสาสะส่วนวิสาสะ เห็นไหม สำคัญตนเป็นสำคัญตน สำคัญว่าเป็นสำคัญว่า มันไม่จริงทั้งนั้นเลย

แต่เวลาเราเอาความจริงล่ะ ความจริง เห็นไหม นี่เวลามันหดสั้นเข้ามา เวลาทำขณิกสมาธิ มันมีความสงบระงับ มันความรู้สึกของมัน ถ้ากำหนดพุทโธต่อเนื่องขึ้นไปมันก็จะเป็นอุปจารสมาธิ มันยังรับรู้ได้ รับรู้ในอะไรล่ะ รับรู้ในเวทนา รับรู้ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม เห็นไหม สติปัฏฐาน ๔ ถ้ากำหนดพุทโธต่อเนื่องเข้าไปนี่ เวลามันสงบระงับเข้าไป จนถึงเป็นอัปปนาสมาธิ มันปล่อยวางนะ มันสักแต่ว่า มันไม่รับรู้แล้ว มันไม่รับรู้สิ่งใด มันไม่สำคัญว่าสำคัญตนสิ่งใดเลย มันเป็นตัวตนของมัน เป็นความจริงของมัน

ถ้าเป็นความจริง เห็นไหม แล้วเราทำไงต่อล่ะ ถ้ามันออกรู้ จิตมันสงบแล้วนี่มันออกรู้ ออกค้นคว้าของมัน เห็นไหม ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ถ้าในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม มันไม่สำคัญว่าและไม่สำคัญตน เพราะไม่สำคัญว่า

เพราะเราจินตนาการไง เวลาเราศึกษาขึ้นมาเป็นปริยัติไง นี่กาย เวทนา จิต ธรรม ปฏิบัติโดยสติปัฏฐาน ๔ ไง มันสำคัญของมันไป มันไม่มีความจริงเลยแม้แต่เล็กแต่น้อย แต่ถ้าเราทำความจริงของเรา เรามีครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม สิ่งใดที่สำคัญตน สำคัญว่า สำคัญตนขึ้นมา มันก็เป็นสังคมสังคมหนึ่ง นี่สิ่งใดที่เป็นปรัชญา เป็นตรรกะ มันพูดได้เหมือนกัน มันทำได้เหมือนกัน มันมีความเห็นเหมือนกัน มันก็อยู่ในสังคมนั้น

แต่เรามีครูบาอาจารย์ไง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านได้ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบเข้ามา เห็นไหม ดูสิ มันสงบระงับเข้ามาแล้วนี่มันเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าเป็นสัมมาสมาธิมันจะมีสติปัญญา มันจะเป็นสัมมา สัมมาเพราะมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม เพราะมันมีความเข้าใจ เพราะมันมีความสงบระงับ แล้วพยายามโน้มนำไปให้เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ให้เห็นตามความเป็นจริง

ถ้ามันเห็นตามความเป็นจริง มันเป็นสัจจะ สัจจะนี่จิตมันก้าวเดินออกไป มันก้าวเดินออกไปเป็นอริยสัจ อริยสัจนี่ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์ ทุกข์นี่มันทุกข์มันยาก เวลาปฏิบัติใครไม่ทุกข์ไม่ยากบ้าง นี่ความเป็นอยู่ของเรานี่มีความทุกข์ความยากเป็นประจำตน เห็นไหม แล้วสมุทัยควรละ ทุกข์ สมุทัย สมุทัยความไม่รู้ไม่เข้าใจมันถึงได้ทุกข์

ถ้ามันทุกข์ขึ้นมา ถ้าจิตใจมันสงบเข้ามาแล้ว เห็นไหม จิตใจสงบเข้ามา เราน้อมระลึกไปในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ถ้าเป็นในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม มันก็เป็นมรรค ถ้าเป็นมรรคขึ้นมา เห็นไหม นี่พอความเป็นมรรคขึ้นมา ถ้าเราใช้ปัญญาขึ้นมามันแยกแยะขึ้นไป ถ้ามันเกิดนิโรธะ มันเกิดนิโรธ เวลามันเกิดนิโรธความดับความเข้าใจตามความเป็นจริงของมัน อริยสัจมันเกิดตรงนี้ไง ถ้าเกิดตรงนี้มันเป็นความสำคัญไหม ความสำคัญคือกิเลสมันหลอกมันล่อ ความสำคัญตน ความสำคัญผิด เพราะมันเป็นการสำคัญ ไม่ใช่เป็นความจริง

ถ้าเป็นความจริงนี่ในการประพฤติปฏิบัติของเรา เราไม่ต้องไปสำคัญไง มันรู้มันเห็นตามความเป็นจริงใช่ไหม นี่เวลาเป็นศีล สมาธิ ปัญญา ขึ้นมา มันก็เป็นจริง ๆ ถ้าเป็นศีลก็ศีลจริง ๆ ของเราขึ้นมา ถ้าเป็นสมาธิ สมาธิมันก็มีสติปัญญา มันถึงเป็นสัมมา มีสติรับรู้ของเรา เราใคร่ครวญของเรา แล้วถ้าเราเกิดปัญญาล่ะ ปัญญามันเกิดแล้ว มันพิจารณาของมันไปแล้ว มันเป็นความจริงแล้ว ความจริงมันแยกแยะของมันเห็นไหม

ความจริงเป็นความจริงนะ ถ้าความสำคัญก็เป็นความสำคัญ นี่มันเป็นความสำคัญ ถ้าไม่สำคัญจะก้าวเดินตรงไหนล่ะ นี่ถ้าเราไม่ศึกษาโดยสัญชาตญาณของเรา เราไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจจากความรู้ความเห็นของเรา เราจะเอาอะไรไปศึกษา เอาอะไรไปเข้าใจ

นี้มันก็เป็นความจริงอันหนึ่ง มันเป็นสมมุติเห็นไหม นี่สมมุติบัญญัติ ด้วยความสมมุติ ด้วยความนี่สื่อภาษาของแต่ละชนชาติ มันก็เป็นสมมุติของแต่ละภาษา ภาษาใครภาษามัน ความเข้าใจของภาษาเขา ศึกษามานี่ พอศึกษาเข้าไปนี่ สิ่งที่เป็นภาษาเป็นการสื่อๆ ความหมายของเขา แล้วเราเอาสิ่งนี้ไปศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เห็นไหม เป็นบัญญัติ สมมุติบัญญัติ

บัญญัติ เห็นไหมดูบาลีนี่สิ่งที่เป็นบาลีเป็นบัญญัติ บัญญัติขึ้นมานี่เราเข้าใจในสมมุติบัญญัติ สมมุติบัญญัติขึ้นมานี่แล้วทำให้เป็นความจริงขึ้นมา นี่ปริยัติ เวลาปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติ มันไม่สำคัญไง จากที่มันเป็นร่องเป็นรอย ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเธอ เราศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทุกคนโดยมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ นี่ถ้าไม่มีสัญญา ไม่มีสติ ไม่มีสัญญา ไม่มีสังขารความคิดความปรุงแต่ง เราจะศึกษามาได้ยังไง

เราก็ศึกษามาจากนี่แหละ ศึกษามาจากสัญญา ศึกษามาจากสังขารความคิดความปรุงแต่ง นี่ศึกษามา ศึกษาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา มันก็เป็นปริยัติศึกษามา มันเป็นสมมุติอันหนึ่งเราก็ต้องสมมุติไปกับเขา แต่เวลาเราจะปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม ถ้าปฏิบัติขึ้นมาจนเป็นความจริง สมมุติบัญญัติ บัญญัตินี่เอาสมมุตินี่ไปศึกษาแล้วมาบัญญัติ

ศึกษาธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่สำคัญ สำคัญว่าเป็นอย่างนั้น แล้วทุกคนกิเลสหยาบกิเลสหนา ความสำคัญก็สำคัญอย่างนั้น สำคัญเราก็เข้าใจ เพราะในการศึกษา นั้นก็บอกว่าปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธะ ในการศึกษาก็ศึกษาเรื่องนี้แหละ ศึกษาในเรื่องปริยัติ เรื่องสัจธรรม เรื่องธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แล้วในการศึกษาก็บอกปริยัติ ปฏิบัติ แล้วปฏิบัติขึ้นมานี่ มันก็ปฏิบัติขึ้นมาโดยตัณหาความทะยานอยากมันสำคัญของมันขึ้นมาตามความเป็นจริงเลย มันสำคัญจริง ๆ นั่นแหละ สำคัญโดยความอ่อนด้อยของจิตใจเรานี่แหละ มันสำคัญขึ้นมาเป็นอย่างนั้น ถ้ามันสำคัญขึ้นมาเป็นอย่างนั้นเห็นไหม เราเชื่ออย่างนั้น เราก็หลงไปอย่างนั้น

แต่ถ้าเราปฏิบัติตามความเป็นจริง นี่ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิบัติจริง ๆ ทำจริง ๆ ไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งใด ทำตามข้อวัตรปฏิบัตินั้น แล้วถ้ามันเห็นโทษของมัน เห็นไหม มันเป็นคุณต่อเมื่อเราทำข้อวัตร มันเป็นคุณต่อเมื่อเราบริหารจัดการในสิ่งที่เป็นของสงฆ์ นี่แล้วบริหารจัดการของมัน นี่เป็นความจริง เราทำจริง ๆ มันจริงตอนนั้น จริงสิ่งที่เป็นอันนั้น เวลาเราปฏิบัติล่ะ เวลาจะปฏิบัติ เห็นไหม ของของสงฆ์เขาจะทำทุกอย่างพร้อมแล้ว ข้อวัตรปฏิบัติก็ทำหมดแล้ว

ในปัจจุบันนี้มันจะเป็นนามธรรม มันจะเป็นความรู้สึกเรา แล้วความรู้สึกของเรา เห็นไหม เวลาเราตั้งใจของเรา เรามีสติมีปัญญาของเรา เราใช้คำบริกรรมของเรา เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเรา นี่สิ่งนี้เป็นคำบริกรรม มันเป็นสัจจะ สัจจะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ ธรรมวินัยให้เราก้าวเดิน ถ้าเราก้าวเดิน เราปฏิบัติขึ้นมานี่ถ้ามันสงบมันก็สงบจริง ๆ มันปล่อยวางจริง ๆ นะ ถ้ามันปล่อยวางจริง ๆ เห็นไหม เราทำได้จริง

แต่ถ้าเรากำหนดพุทโธใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันไม่ปล่อยวางตามเป็นจริง เราเกาะเกี่ยวอยู่นั้น เห็นไหม สิ่งที่คำบริกรรมเป็นเครื่องอาศัยของใจ ใจไม่เร่ร่อน ใจไม่ไปตามแรงขับของตัณหา แต่เราเกาะไว้ เรามีสติรั้งไว้ ๆ บังคับไว้ ปฏิบัติใหม่ ๆ ต้องบังคับไว้เลย บังคับไว้อยู่กับพุทโธนี่ บังคับไว้อยู่กับปัญญาอบรมสมาธินี่ บังคับไว้ ๆ ถ้าบังคับไว้มันก็ต่อต้านกัน มันก็มีการดีดดิ้นเป็นธรรมดาของมัน นี่บังคับไว้ ๆ ด้วยความชำนาญ ด้วยความชำนาญนะ ถ้ามันละเอียดระงับเข้ามา มันก็เป็นจริงขึ้นมา เป็นจริงขึ้นมา ดูสติปัญญา ถ้ามันปล่อยวางเข้ามา มันปล่อยวาง ถ้าเรามีความเข้มแข็ง มีความจริง

แต่ถ้าเราไม่มีความเข้มแข็ง ไม่มีความจริงนะ นี่มันจะสำคัญล่ะ สำคัญว่าเป็นอย่างนั้น สำคัญว่าเป็นอย่างนี้ มันก็เป็นจินตนาการ เห็นไหม นี่สำคัญว่า ทั้ง ๆ ตั้งแต่ภายนอก ทั้ง ๆ ตั้งแต่เริ่มต้นเป็นสมมุติ มันก็สำคัญว่าเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว

แต่เวลาปฏิบัติขึ้นไปแล้วนี่ เห็นไหม พอจิตมันเป็น มันจินตนาการขึ้นมา สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา มันก็สำคัญของมันไป สำคัญไป ล้มลุกคลุกคลานไปตลอด ครูบาอาจารย์ท่านก็บอกว่าให้ทำความจริงขึ้นมา โลกเป็นอย่างนั้นจริง ๆ จริตนิสัยของคนมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ แล้วจริตนิสัยของคน เห็นไหม ดูสิ ใครที่มีลักษณะผู้นำเขาก็พยายามโฆษณาชวนเชื่ออย่างนั้น พยายามโฆษณาชวนเชื่อของเขาแบบนั้น โน้มน้าวให้คนมีความเชื่อตามๆ เห็นไหม ด้วยความจินตนาการของเขา มันสำคัญตน แล้วมันก็เป็นไปตามความสำคัญอันนั้น

แต่ถ้าเราเป็นจริงขึ้นมา ใครสำคัญกับใครล่ะ ครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัตินะ สมาธิของเขาก็เป็นสมาธิของเขา สมาธิของเราก็เป็นสมาธิของเรา สติปัญญาของเราก็เป็นสติปัญญาของเรา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าความจริงขึ้นมา มันรู้แล้วนะ เวลาเรานี่ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เวลาสนทนาธรรมกัน ทำไมของเขาเป็นแบบนั้น เราก็ทำของเรา นี่ความรู้สึกเราเป็นอย่างนี้ มันไม่เหมือนเขา ทำไมมันถึงไม่เหมือนเขาล่ะ

แล้วฟังนี่ ดูสิ ความสำคัญว่าของเขาเป็นอย่างนั้น แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติเป็นจริง มันมี! ถ้ามันมี อย่างนี้ใช่ อย่างนี้ความเป็นจริงของเราในใจของเรานี้ อย่างนี่ถูกต้องเลย ถ้าอย่างนี้มันไม่ใช่ มันไม่ใช่เพราะเราเคยเป็นอย่างนี้มาก่อนแล้วมันล้มลุกคลุกคลาน เพราะมันยังไม่เข้าตามความเป็นจริง มันก็เป็นแบบนี้มาก่อน เห็นไหม นี่หยาบ จิตใจของหยาบ จิตหยาบ ๆ มันก็เป็นอย่างนั้น

ถ้ามีความมีสติมีปัญญาปฏิบัติต่อเนื่องขึ้นไปมันจะละเอียดขึ้นมา จากหยาบมันจะละเอียดขึ้นมา จากละเอียดขึ้นมามันจะละเอียดขึ้นไป มันละเอียดซ้อนขึ้นไป ความละเอียดมันเป็นปุ่มเป็นฝอย เป็นปุ่ม เป็นผง ละเอียดอย่างนั้นใช่ไหม ไม่ใช่ ละเอียดมันความรู้สึกในใจนั่นน่ะ เวลาคนปฏิบัติที่มันอ่อนด้อยอยู่นะ สิ่งที่มันหยาบ ๆ มันก็ว่าละเอียดของมัน มันเป็นความลึกลับมหัศจรรย์ของมัน แต่เวลามันละเอียดเข้าไปนะ สิ่งนั้นหยาบ ๆ มากเลย มันจะรู้ได้ต่อเมื่อจิตมันพัฒนา จิตมันเป็น

ถ้าจิตมันไม่เป็นมันจินตนาการขึ้นไป มันคาดหมายทั้งนั้น ดู! วัตถุธาตุ สสารในโลกนี้ มองไม่เห็นด้วยสายตาเยอะแยะไปหมดเลย สิ่งที่มองเห็นด้วยสายตา เห็นไหม มันก็มองเห็นได้ ถ้ามองไม่เห็นด้วยสายตาเขาก็ใช้กล้องจุลทรรศน์ของเขา เขาใช้การทดสอบของเขา การขยายส่วนด้วยกล้องด้วยเลนส์ของเขาก็เห็นได้ แม้แต่สสารในโลกนี้ สิ่งที่ไม่เห็นด้วยตามีมากมายเลย แล้วคิดดูสิสิ่งที่เป็นนามธรรมความรู้สึกของเรา ถ้าจิตใจมันยังหยาบอยู่ มันก็ว่ามันหยาบของมันอย่างนั้น แต่ถ้ามันละเอียดขึ้นมา มันรู้ตัวมันเอง มันรู้มันเอง มันรู้เข้าใจ พอมันรู้แล้วมันเข้าใจขึ้นมามันจะเห็นคุณค่าไง เห็นคุณค่าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

กาลามสูตรไง อย่าเชื่อนะ เธออย่าเชื่อว่าเป็นอาจารย์ อย่าเชื่อว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม นี่ศึกษาธรรมและวินัยแล้วให้ปฏิบัติตาม ๆ เห็นไหม ปฏิบัติตามขึ้นมาเป็นความจริง ถ้าใจเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม มันไม่สำคัญเลย มันจริงในตัวมันเอง มันจริงในความเป็นจริงอันนั้น ถ้ามันเป็นความจริงอันนั้นแล้วนะ ใครพูดสิ่งใดมันเข้าใจได้ มันฟังแล้วมันรู้เลยว่า อันนั้นจริงหรือไม่จริง

ถ้ามันไม่จริงก็วางไว้ มันเรื่องของเขา มันเป็นเรื่องกรรมของสัตว์ ไม่มีใครสามารถจะแบบให้มีความเห็นในมุมมองเดียวกันให้ตรงเหมือนกัน มันไม่มีอยู่ในโลกนี้ ถ้ามันมีอยู่ในโลกนี้นิ้วของคนมันต้องเท่ากัน นิ้วคนมันไม่เท่ากันอยู่แล้ว ถ้านิ้วคนไม่เท่ากันอยู่แล้วนี่ เราฝึกหัดใจของเรา เห็นไหม เราให้เป็นความจริง เราไม่สำคัญตน ไม่สำคัญว่า ไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งใดเลย

มันเป็นความจริงในใจของเรา ในเมื่อจิตมันเป็นความจริง ๆ อยู่แล้ว จิตมันเป็นความจริง มันปฏิสนธิจิต ถ้ามันมีจิต ปฏิสนธิในไข่ ในน้ำครำ ในครรภ์ ในโอปปาติกะ มันจะไม่มาเกิดเป็นเรา เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม การเกิดเป็นเรา เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันเกิดมาแล้วมันมีอยู่จริง เห็นไหม มันมีอยู่จริงคือจิตมันจริง แต่มันโดนมารโดนอวิชชาครอบงำอยู่ มันก็หลงใหลไปตามแต่พญามารมันจะครอบงำ มันจะขับดันของมันไป

แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา คำว่ามีสติปัญญา เห็นไหม ดูสิ เวลาหลวงปู่มั่นนี่โลกเขาว่าไง เห็นไหม นี่เหมือนเศษคน อยู่ในป่าในเขา เห็นไหม ดูสิ เขาบวชกันเขาอยู่วัดอยู่วา อยู่ในที่เจริญของเขา คุณภาพชีวิตของเขานี่มันเสมอโลกเขา ดีกว่าโลกเขา อยู่กับโลกเขา แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านเสียสละไปอยู่ในป่าในเขา เห็นไหม เหมือนสัตว์ เหมือนเศษคน

นี่พูดถึงมุมมองของโลก แต่หลวงตาบอกเลย ถ้าพูดถึงในมุมมองของธรรม เห็นไหม “ท่านเลอเลิศ” แม้เทวดา อินทร์ พรหม ยังต้องมาฟังเทศน์ เวลาเทวดา อินทร์ พรหม มาฟังเทศน์หลวงปู่มั่น นี่มาขอคุณธรรมขอธรรมในใจของหลวงปู่มั่น เห็นไหม นี่สิ่งที่ว่าเวลาโลกเขามองกัน เขามองกันอย่างนั้น เขามองว่าเศษคนๆ ถ้าเศษคนเราก็ดิ้นรนอยากจะเทียบเคียงเขา เวลากิเลสมันดิ้นรนมันดิ้นรนอย่างนั้น มันดิ้นรนได้แต่รูปธรรม ได้แต่สิ่งที่เป็นวัตถุที่จับต้องได้ แต่เขาไม่เห็นคุณค่าของใจ เขาไม่เห็นคุณค่าของความรู้สึก เขาไม่เห็นคุณค่าของหัวใจไง

แล้วหัวใจ ดูสิ ที่มันเกิดมา มันเป็นความจริง ๆ ความจริงที่มันมีอยู่ แต่มันโดนครอบงำไว้ด้วยพญามาร มันโดนครอบงำด้วยอวิชชา ทีนี้เราด้วยมีอำนาจวาสนา เห็นไหม เราเกิดเป็นมนุษย์ แล้วมันสนใจ มันสนใจในเรื่องสัจธรรม มันสนใจในเรื่องพุทธศาสนา นี่....รัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่มันสนใจเรื่องนี้ แล้วมันศึกษาไง

ศึกษา เห็นไหม ศึกษาแล้วอย่าไปสำคัญมัน ศึกษามาแล้วปล่อย ศึกษาแล้วมาค้นคว้า “ปริยัติแล้วปฏิบัติ” ถ้าเราปฏิบัติขึ้นมานี่รู้เห็นสิ่งใดก็ไม่สำคัญ รู้เห็นสิ่งใดแล้วปล่อย ๆ ถ้ามันเป็นความจริงมันต้องเป็นความจริงอยู่กับเรา ถ้ามันไม่เป็นความจริงมันคงทนการพิสูจน์ไม่ได้ ถ้ามันเป็นความจริงอยู่กับเรา เห็นไหม ถ้าจิตมันสงบแล้วนี่ให้มันสงบเข้ามา รู้เห็นสิ่งใดให้วางไว้ก่อน วางไว้เห็นไหม ดูสิ เวลาเราหาเงินหาทองขึ้นมา เราเก็บสะสมไว้ เราฝากธนาคารไว้ มันต้องมีมากขึ้น ๆ ตลอดไป

นี่ก็เหมือนกัน เราประพฤติปฏิบัติจิตสงบให้มันสงบเข้ามา แล้วมีสติปัญญาไว้ ถ้ารู้เห็นสิ่งใดก็วางไว้ว่าไม่สำคัญสิ่งใดทั้งสิ้น ปล่อยวางเข้ามา ๆ ๆ มามันจะละเอียดเข้าไป มันจะรู้จริงของมันขึ้นไป ถ้ามันรู้จริงของมันขึ้นไป ความจริงมันเป็นแบบนี้

ถ้าความจริงเป็นแบบนี้ เพราะความจริงมันมีอยู่ เพราะจิตมันปฏิสนธิมันเกิดเป็นเรานี่ มันมีจริงอยู่แล้ว ๆ แล้วเรามาศึกษานี่ศึกษาด้วยสัญชาตญาณ ศึกษาด้วยขันธ์ ศึกษาด้วยสัญญา ศึกษาด้วยสังขาร ศึกษาด้วยวิญญาณในขันธ์ ๕ ความคิด ความปรุง ความแต่ง ศึกษา ๆ มาแล้ววาง ศึกษา ๆ มาความเข้าใจ เห็นไหม

โลกเขาต้องเจริญด้วยการศึกษา ถูกต้อง ศึกษาแล้วค้นคว้า ศึกษาแล้วประพฤติปฏิบัติ ศึกษาแล้วให้เป็นสมบัติของเรา ศึกษาแล้วมีความจริงขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมาให้มีความจริงของเราขึ้นมา เกิดมรรคก็เป็นมรรคจริง ๆ ขึ้นมา

ถ้ามันจริง ๆ ขึ้นมานะ เราจะไปสำคัญอะไร ถ้าเรามีความจริงขึ้นมานี่เราจะรู้เลยว่าใคร เวลาประพฤติออกมาในการแสดงของเขาออกมานี่มันเป็นความจริงหรือความไม่จริง ความจริงคือเป็นความจริง ความจริงที่มันเข้ากับสัจธรรม มันเป็นความจริงอยู่แล้ว

แต่เขาไปศึกษามาด้วยสัญญา ศึกษามา ฟังมา ด้วยการจำมา เวลาแสดงออกมา แสดงออกโดยความสำคัญว่า สำคัญว่าคือว่าสงสัยไง สำคัญว่าเป็นแบบนั้น สำคัญว่านี้คือสติ นี้คือสมาธิ นี้คือปัญญา สำคัญว่ามันเป็นอย่างนั้น สร้างภาพให้มันเป็นแบบนั้น มันไม่เป็น

แต่ถ้าเราปฏิบัติตามความเป็นจริงล่ะ เราไม่สำคัญสิ่งใดทั้งสิ้น ให้มันเป็นความจริงของเราขึ้นมา ถ้าความจริงขึ้นมาอย่างนี้ เห็นไหม มันเป็นความจริงนะ มันน่าสลดสังเวช สังเวชว่าความจริงมันมีอยู่ จิตใจของเรามีอยู่ เห็นไหม ดูสิ เวลาทำสิ่งใดขึ้นมาโดยขาดสติก็ทำของเขาไป เวลาสำนึกได้ สำนึกได้เพราะอะไร? เพราะสำนึกได้ ดูชีวิตของเรานี่มันยังอีกยาวไกลไง

ชีวิตเรายังอีกยาวไกลไหมในการประพฤติปฏิบัติเราขึ้นมา เริ่มต้นตั้งแต่บวชใหม่ขึ้นมา จิตใจจริตนิสัยยังเป็นฆราวาส การฆราวาสคือสิทธิ สิทธิมนุษยชน สิทธิของความเป็นมนุษย์ นี่สิทธิเสรีภาพของความเป็นมนุษย์ มนุษย์มีค่าเท่ากัน มนุษย์มีค่าเท่ากัน สิ่งใดก็มีค่าเท่ากัน สิทธิมนุษยชนในจริตนิสัยของฆราวาส ฉะนั้น สิ่งนี้มีความสำคัญไหม ใช่! มีความสำคัญทางโลกเขา ความเสมอภาคความเป็นมนุษย์

นี้เวลาเราจะมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม เราจะประพฤติปฏิบัติ เวลาบวชแล้วเราพยายามจะเป็นสมณะสารูป สมณะสารูปคือการสงบระงับ ความสงบระงับจากร่างกาย ความสงบระงับสมณะสารูป ความดำรงชีวิต แล้วเวลาเราปฏิบัติขึ้นมานี่ เห็นไหม ความสงบระงับ จากหัวใจ จากใจที่มันดีดมันดิ้น จิตใจที่มันฟุ้งมันซ่าน มันเร่ร่อนของมัน เราจะเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเรา แล้วเราฝึกหัดใช้สติปัญญาของเราขึ้นมา

ถ้ามันเกิดสติปัญญาขึ้นมา มรรคโค นี่เราหาหนทางกันนะ เราบวชมา เราเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราเกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม เกิดในพระพุทธศาสนาเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เรามาบวชเป็นพระเป็นนักรบ รบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากของตัว แต่การจะรบนี่จะเอาอาวุธอะไรไปรบกับมัน ก็ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา จะมารบ รบกับกิเลสในใจของเรา เราหาอาวุธนั้นมารบกับกิเลสในใจของเรา

การศึกษามานั้นเป็นทฤษฎีเป็นแผนที่เครื่องดำเนิน แล้วเวลาเราจะประพฤติปฏิบัติจริง ๆ ขึ้นมา เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา มันเกิดจากหัวใจ ถ้าเกิดจากหัวใจนี่นั้นเป็นตัวจริง สิ่งที่ศึกษามาเป็นทฤษฎี เป็นเครื่องบอกเรื่องวิธีการจะเอาอาวุธนั้นมาต่อสู้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา แต่เรายังไม่มีอาวุธใช่ไหม ถ้าเรายังไม่มีอาวุธขึ้นมานะ เราจะไม่สำคัญว่ามี เวลาเราไปสำคัญว่า ศีล สมาธิ ปัญญา สิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น เราสำคัญว่าเป็นอย่างนั้น แล้วเราคิด เราจินตนาการคาดหมายเป็นอย่างนั้น มันไม่เป็นความจริง

แต่เวลาเราตั้งใจ เราตั้งสติของเรา ระลึกรู้ ระลึกรู้มันก็อยู่ได้ มีสติ ถ้าเกิดคำบริกรรมขึ้นมา จิตมันสงบขึ้นมา เห็นไหม มันก็มีศีล มีสมาธิ แล้วฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญานี่เป็นดาบคมกล้าที่จะเข้าไปฟาดฟัน ฟาดฟันต่อสู้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยากของตัว ให้มันเป็นความจริง ถ้ามันมีความจริงขึ้นมา เรามีความจริงขึ้นมา เราจะภูมิใจที่เรามีอาวุธเข้าไปต่อสู้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

แล้วเราเข้าไปต่อสู้ได้เห็นตัวมันหรือยัง เราจะเอาอะไรไปต่อสู้กับมัน ถ้าเห็นตามจริง เราเห็นตัวมันแล้ว เราได้ฟาดฟันกับมัน ได้ฟาดฟันกับมัน เห็นไหม ระหว่างกิเลสกับธรรมต่อสู้ในใจของเรา มันจะเพลิดเพลินนะ คนที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เขาพยายามจะหาความสงบระงับ เขาจะหาที่วิเวกของเขา เขาจะหาโอกาสของเขา เขาอยากได้อยากดีของเขา

เหมือนนักกีฬาเลย นักกีฬานี่เขาอยากแข่งขัน เขาอยากชนะ เขาอยากได้ผลประโยชน์ของเขา เขาพยายามแสวงหาของเขา เรานักรบ เรานักปฏิบัติขึ้นมา เราก็แสวงหาใจของเรา แล้วปฏิบัติของเราให้เป็นความจริงของเรา เห็นไหม ให้มันเป็นความจริง ถ้าเป็นความจริง มันไม่สำคัญว่า ไม่สำคัญตนใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่สำคัญแล้ววางไว้ตามเป็นจริงด้วย

ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมาล้มลุกคลุกคลานมานะ แต่พอรู้จริงขึ้นมาแล้ว เห็นไหม ความจริงนี่มันอยู่กับใจ ความจริงกับใจมันเป็นอันเดียวกัน ไม่ต้องรักษา ไม่ต้องแสวงหา ไม่ต้องไปทำสิ่งใดกับมันเลย มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น

แต่ความสำคัญว่าจะเป็นเรา ไม่เป็นเรา จริงหรือไม่จริงนี่ มันสำคัญแล้วมันเที่ยวตะครุบเงา ไปยึดไปถือ อู๊ย ! มันทุกข์มันยาก แล้วมันยิ่งสำคัญยิ่งไม่ได้ดั่งใจ สุดท้ายแล้วกลายเป็นคนป้ำ ๆ เป๋อ ๆ ไปเลย หลุดไปเลย สำคัญให้เป็นอย่างนั้น จนไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร เราไม่ทำขนาดนั้น

เราย้อนกลับมาที่ใจเรา ย้อนมาในการประพฤติปฏิบัติของเรา แล้วดูแลหัวใจของเรา ทำความเป็นจริงให้มันขึ้นมากับเรา ให้เป็นความจริง ไม่เป็นการสำคัญว่าเป็นอย่างนั้น เอวัง